ล้างหน้าให้ถูกวิธี เพื่อใบหน้าสะอาดใสไร้สิว

เชื่อไหมว่า การล้างหน้าอย่างถูกวิธีช่วยรักษาและป้องกันการเกิดสิวได้ เพื่อนๆ ที่อยากมีใบหน้าขาวใส ไร้ปัญหาเรื่องสิว ควรให้ความสำคัญกับการล้างหน้าด้วย หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ในแต่ละวันควรจะล้างหน้ากี่รอบ? รอบละกี่ครั้ง? ควรล้างแบบไหนถูแบบไหน?  ล้างด้วยสบู่ เจล หรือโฟมล้างหน้าแบบไหนจะดี?  อ่านบทความนี้ท่านจะได้คำตอบแน่นอน...

ล้างหน้าอย่างถูกวิธี

ทำความสะอาดใบหน้าบ่อยแค่ไหนดี?
การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า 1ครั้ง และอาบน้ำตอนเย็น 1ครั้ง เราไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ นอกซะจากกรณีที่ผิวของเพื่อนๆ สกปรกจริงๆ โดยเฉพาะหลังทำกิจกรรมที่ร้อน และมีเหงื่อออกมาก เช่น หลังเล่นกีฬา ทำงานบ้าน ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน เป็นต้น ก็เพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้

วิธีล้างหน้า
  • ไม่ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำร้อนล้างหน้า เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง และกระตุ้นให้ผิวเหี่ยวเร็วขึ้น 
  • ให้ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ลูบไล้อย่างเบาๆ มือ โดยล้างหน้าตั้งแต่คางไปจรดแนวไรผมที่หน้าผาก อย่าขัดถูใบหน้าแบบแรงๆ
  • หลังฟอกสบู่ต้องล้างสบู่ออกให้หมดด้วยน้ำสะอาด จากนั้นซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนู ซับหน้าเบาๆ ไม่ควรเช็ดหน้าหรือถูซับใบหน้าแรงๆ เดี๋ยวผิวจะหยาบกร้านเอานะ 
  • เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการดูแลทำความสะอาดใบหน้าในแต่ละวัน 
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการทำความสะอาดใบหน้า
หลายคนคิดว่าแค่สบู่หรือน้ำเปล่าล้างหน้านั้นไม่จะพอหรือ? คำตอบคือ เพียงพอแล้ว ก็เพราะมีความเชื่อกันว่าสิ่งสกปรกทำให้เกิดสิว จึงทำให้ผู้ที่เป็นสิวหลายคนล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป แถมยังใช้สบู่ที่แรงหรือโฬมชนิดเข้มข้นหรือสบู่ยา ส่งผลให้ใบหน้าอักเสบ ระคายเคือง และสิวกำเริบขึ้น (เคยสังเกตไหมว่าทำไมเรายิ่งล้างหน้า ใบหน้ายิ่งอักเสบ สิวก็ไม่ลด) บางคนหลังล้างหน้า ก็ยังตบท้ายด้วยการใช้สำลีชุบโลชั่นที่มีแอลกอฮอล์ผสม หรือคลีนเซอร์ หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้า เช็ดที่ไรก็จะได้คราบสีดำติดสำลีมาด้วยทุกครั้ง แล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นคือสิ่งสกปรกตัวการทำให้เป็นสิว ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ต่อให้เรามีใบหน้าสะอาดเพียงใด หากใช้โลชั่นที่มีแอลกอฮอล์ผสมเช็ดหน้าย่อมได้คราบดำติดมาด้วยเสมอทุกคน ที่จริงแล้วคราบดำนั้นเป็นผิวหนังชั้นขี้ไคลส่วนที่ตายและพร้อมจะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งชั้นขี้ไคลก็คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรก หากแต่เป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรค และสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว ดังนั้นหากขาดชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคล ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้ามักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย อักเสบง่าย ระคายเคืองง่าย กลายเป็นผิวบอบบาง โดนอะไรนิดหน่อยก็แพ้เป็นผื่น วิธีแก้ผิวแพ้ง่าย ก็เพียง “ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด” แล้วจะหายเอง

โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน หรือสบู่เจลใสของเด็กก็ได้ ลูบไล้อย่างเบาๆ มือให้ทั่วหน้า ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดหรือซับหน้าเบาๆ มือด้วยผ้าขนหนูให้แห้ง ไม่ควรเช็ดหน้าแรงๆ
โดยธรรมชาติ ผิวหนังกำพร้าของคนเราจะหลุดลอกออกมาเองทุกวัน ก็จะพาเอาแป้ง เอาฝุ่นให้หลุดลอกออกมาด้วย ไม่ต้องออกแรงถูเพราะเป็นการไปทำร้ายผิว และไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้คลีนเซอร์ โทนเนอร์ หรือชุดล้างหน้า (ยกเว้นบางรายที่มีสภาพผิวมันมาก สามารถใช้ได้แต่ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม)  เพราะถึงจะใช้ชุดล้างหน้าสุดหรูชุดละหลายพันบาทหรือใช้แค่สบู่เหลวของเด็กขวดละ 60 บาท หน้าก็สะอาดใสได้เท่ากัน

เห็นไหมละค่ะว่า หากเราล้างหน้าให้ถูกวิธี ช่วยรักษาสิว ป้องกันสิว ช่วยให้ใบหน้าเราสวยใสได้ด้วย