สิวที่คาง สาเหตุและวิธีรักษาสิวบริเวณคางอย่างได้ผล

สิวที่คางบ่งบอกอะไรเรา? มีเพื่อนๆ หลายคนที่ชอบเป็นสิวอักเสบที่คางและบริเวณรอบๆ คาง และก็มักจะเป็นซ้ำๆ บ่อยๆ ไม่หายสักที แล้วเจ้าสิวที่คางเกิดได้ยังไง สิวบอกโรคอะไรเราหรือเปล่า และจะมีวิธีรักษาอย่างไรให้หาย ในบทความนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ

ลักษณะของสิว
ประเภทของสิวที่เกิดกับแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป เช่น
  1. สิวอักเสบ สิวบวมแดงใหญ่ สิวแบบมีหัวหนอง สิวเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมักบ่งชี้ว่าอวัยวะภายในร่างกายบางอย่างกำลังทำงานผิดปกติ
  2. สิวอุดตัน สิวผด เกิดจากการรักษาความสะอาดของใบหน้าไม่เพียงพอ จากมลภาวะที่พบในชีวิตประจำวัน หรือการล้างเครื่องสำอางออกไม่หมด หรือการใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ 
  3. สิวฮอร์โมน มีลักษณะเหมือนกับสิวอุดตัน และสิวอักเสบ มักจะเกิดขึ้นเมื่อระดับฮอร์โมนในร่างกายของ ไม่ได้สมดุล โดยเฉพาะเวลาที่ใกล้เกิดประจำเดือน หรือเกิดความเครียด การพักผ่อนน้อย เป็นต้น
สาเหตุการเกิดสิวที่คาง 
โดยสรุปแล้วสิวที่คางสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
  1. เกิดจากสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะภาวะที่เกิดความเครียด นอนดึก อดนอน และในช่วงวัยรุ่นจะเป็นสิวเยอะกว่าช่วงชีวิตอื่นๆ  และผู้หญิงมักเป็นสิวได้ง่ายขึ้นในช่วงมีประจำเดือน ในช่วงตั้งครรภ์หรือหลังคลอด ซึ่งฮอร์โมนของเพศหญิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก นอกจากนี้ปัญหาเกี่ยวกับมดลูกก็เป็นสาเหตุให้เกิดสิวที่คางได้
  2. สิวที่คางเป็นเสมือนสัญญาณเตือนจากอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ลำไส้เล็ก ช่องคลอด มดลูก และรังไข่ ว่ากำลังเกิดความผิดปกติขึ้น
  3. เกิดจากการทานอาหารรสจัดทำให้ลำไส้ต้องทำงานหนัก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจทำให้เกิดสิวขึ้นที่คาง
  4. เกิดจากมลพิษจากสภาวะแวดล้อม ฝุ่น แสงแดด 
  5. เกิดจากเครื่องสำอางบางอย่าง เช่น ครีมบำรุงผิว เครื่องแต่งหน้า สบู่บางอย่าง อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโคมิโดน ซึ่งจะไปอุดตันรูขุมขน หรือเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของสิว
  6. เกิดจากการใช้มือสัมผัสที่คาง หรือใบหน้าบริเวณบ่อยๆ 
วิธีรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวที่คาง
การเกิดสิวที่คางสามารถรักษาได้ด้วยตนเอง โดยวิธีการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
  • ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด ด้วยสบู่เหลวหรือคลีนเซอร์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง เช่น Acne-Aid Liquid Cleanser,  Physiogel Cleanser,  Cetaphil Gentle Skin Cleanser  เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยแก้ปัญหาสิวโดยเฉพาะ สามารถล้างหน้าได้อย่างสะอาดและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 
  • แต้มหัวสิวด้วยครีมแต้มสิว ช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น 
  • รับประทานผักผลไม้มากๆ หรือโดยอาจทานเป็นน้ำผลไม้ เช่น น้ำมะเขือเทศ เป็นต้น ในมือเช้า และมื้อเย็นจะดีมาก เพราะสิวที่คางเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลำไส้กำลังมีปัญหา โดยจะสังเกตได้ว่า คนที่ท้องผูก หรือไม่ได้ขับถ่ายเป็นปกติ มักที่จะมีสิวเกิดขึ้นที่คาง ดังนั้น การรับประทานผลไม้จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยลดการเกิดสิวที่คางได้ 
  • ยาบำรุงสตรี ในช่วงที่คุณสาวๆ มีประจำเดือนเกิดขึ้น ฮอร์โมนของเพศหญิงจะไม่ค่อยมีความสมดุลนัก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำเกิดสิวขึ้นบริเวณใต้คาง การกินยาสตรีจะช่วยปรับสมดุลของเพศหญิงให้เป็นปกติ ช่วยในการหมุนเวียนเลือด เมื่อระบบร่างกายดี สิวที่คางก็จะไม่เกิดขึ้น
  • ลดการกินเผ็ดหรือรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดน้อย เพราะการทานอาหารรสจัดทำให้ลำไส้ต้องทำงานหนัก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว
  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของระบบย่อยอาหาร ช่วยทำให้ลำไส้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่มากขึ้น และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
  • ลดละความเครียด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุในอันดับต้นๆ ที่ทำให้สิว หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำ ฝึกการปล่อยวาง ฝึกการคิดบวกอยู่เสมอ  
  • พยายามอย่าใช้มือท้าวคาง หรือแกะ เกา ลูบคลำใบหน้า เพราะในมือของเรามีคราบสกปรก และเชื้อแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมาก อาจทำให้ติดเชื้อมากขึ้น นำไปสู่การเกิดสิว
  • ทานอาหารที่มีฮอร์โมนน้อยลง เช่น เนื้อสัตว์ ไก่ นมวัว ผลิตภัณฑ์จากนมวัว แป้งขัดขาว เบเกอรี่ การรับประทานในปริมาณที่มากและบ่อยครั้งเกินไป จะมีผลในการไปกระตุ้นฮอร์โมนให้ทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวได้
  • ลดการใช้เครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าลง แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอาง หรือโลชั่น ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน (oil free) หรือโลชั่นที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดสิว (non-acnegenic) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedongenic)
  • หมั่นออกกำลังกายและไม่ควรนอนดึก นอนดึกใบหน้ายิ่งโทรม ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
การเป็นสิวอักเสบที่คางหรือใต้คาง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนมากมักเป็นกับเพศหญิงจากปัญหาในเรื่องของฮอร์โมน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สิวที่คางเกิดได้จากหลายเหตุปัจจัย และสิวมักจะเป็นๆ หายๆ ดังนั้น การดูแลและรักษาสิวควรทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อสิวหายแล้วก็ควรทำการป้องกันอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เพราะสิวสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งปัจจัยจากภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีการต่างๆ แล้วยังไม่ได้ผล สิวไม่หาย แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเป็นการดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมน ซึ่งการปรึกษาแพทย์จึงเป็นทางเลือกที่ดี ปัจจุบันยังมีคลินิกรักษาสิวให้เลือกมากมายอีกด้วย